1. บัตรพลาสติกพีวีซี (PVC card)
หรือที่เรียกกันว่า “บัตรขาวเปล่า” ก็คือบัตรพลาสติก เรียบๆธรรมดาๆ ที่ทำจาก Polyvinyl chloride หรือ PVC มีคุณสมบัติแข็งแรงทนทาน มีขนาดที่ได้มาตรฐาน ISO 7810 (85.60×53.98 mm.) ซึ่งเรามักจะคุ้นตาในขนาดที่เรียกกันคร่าวๆว่า 86x54mm. หรือ 8.6×5.4cm. ซึ่งจริงๆแล้วยังสามารถสั่งทำขนาดพิเศษทั้งเล็กและใหญ่ได้ตามต้องการ เช่น บัตรสมาชิกแบบพวงกุญแจขนาดเล็ก หรือบัตรStaff เข้างาน ขนาดใหญ่



ส่วนความหนาก็มีให้เลือกทั้งหมด 3 ขนาด ที่พบเห็นใช้งานกันบ่อยๆ คือ
- 0.3mm เหมาะสำหรับทำนามบัตร(นามบัตรพลาสติก) บัตรของขวัญสำหรับแนบกับสินค้า หรือพิมพ์บัตรพนักงานเพื่อนำบัตรไปแปะกับบัตรสมาร์ทการ์ดรุ่นอื่นๆ
- 0.5mm. เหมาะสำหรับทำบัตรสมาชิก บัตรคอนเสิร์ต บัตรที่ต้องการให้พกพาสะดวก ไม่เป็นทางการมาก
- 0.76mm. เหมาะสำหรับทำบัตรพนักงาน บัตรประจำตัว บัตรผ่านประตู บัตรสมาชิก หรือบัตรอื่นๆที่ต้องการความน่าเชื่อถือและมีมาตรฐาน
บัตรพลาสติกพีวีซี สามารถใช้งานกับเครื่องพิมพ์ได้หลากหลายระบบทั้งเครื่องพิมพ์Inkjet, Ribbon, Retranfer, UV, Offset และอื่นๆ แต่ข้อควรระวังคือ การพิมพ์บัตรพลาสติกในบางระบบ จำเป็นต้องใช้บัตรสำหรับการพิมพ์ระบบเดียวกันเท่านั้น เช่น บัตรสำหรับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท และบัตรที่ใช้กับเครื่องพิมพ์หมึกริบบ้อน ทางที่ดีควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนทุกครั้งว่าบัตรและเครื่องพิมพ์ที่มีนั้น สามารถใช้งานร่วมกันได้
บัตรพลาสติกขาวเปล่านี้ไม่มีชิพ ไม่มีแผ่นแม่เหล็ก หรือคลื่นส่งสัญญาณฝังในตัวบัตร จึงไม่สามารถเก็บ บันทึกหรืออ่านข้อมูลใดๆได้ แต่สามารถเพิ่มคุณสมบัติอื่นๆเข้าไปในการออกแบบบัตรเพื่อยืนยันตัวตนผู้ถือบัตรได้ เช่น การรันนัมเบอร์ แถบลายเซ็น การใส่บาร์โค้ด หรือ QR code เป็นต้น
2. บัตรสมารท์การ์ด (Smart card)
บัตรสมาร์ทการ์ด คือ บัตรที่สามารถประมวลผลข้อมูลได้ ทั้งนี้จะประมวลโดยการอ่าน เขียน บันทึก ลบ หรือคุณสมบัติใดนั้น ขึ้นอยู่ความสามารถของบัตรแต่ละรุ่น ว่าใช้เทคโนโลยีอะไร และเพื่อวัตถุประสงค์ใดบ้าง
ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกจะมีขนาดมาตรฐานเท่ากับบัตรเอทีเอ็ม ทั้งความกว้างและความหนา แต่ก็จะมีบัตรบางรุ่นที่มีขนาดพิเศษต่างออกไปและมีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยเช่นกัน
โดยบัตรสมาร์ทการ์ด สามารถแบ่งตามวิธีการรับส่งข้อมูลได้เป็น 2 ประเภท คือ บัตรแบบสัมผัส (Contact smart card) และ บัตรแบบไร้สัมผัส (Contactless smart card)
2.1. บัตรสมาร์ทการ์ดแบบสัมผัส (Contact smart card)
บัตรที่สามารถประมวลผลข้อมูลในบัตรได้โดยการใช้บัตรสัมผัสกับเครื่องอ่านโดยตรง เช่น การรูด หรือการเสียบบัตรเข้าไปในเครื่องอ่านบัตร(Card reader) เพื่อให้เครื่องส่งผ่านข้อมูลผ่านตัวเก็บข้อมูลที่อยู่บนบัตร โดยวิธีนี้เป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูงและได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยบัตรที่ใช้ระบบสัมผัสมีดังนี้
บัตรแถบแม่เหล็ก (Magnetic Card)
บัตรพลาสติกสีขาวขนาดมาตรฐานเท่าบัตรเอทีเอ็ม มีแถบสีดำด้านหลัง เห็นได้ชัดเจนจากภายนอกอย่างที่เราคุ้นเคยกันดีในบัตรเดบิต บัตรเครดิตจากธนาคาร ทำจากฟิล์มพลาสติกที่เป็นตัวเก็บข้อมูล ส่งผ่านข้อมูลในบัตรไปอย่างเครื่องอ่านโดยการรูดแถบแม่เหล็กนั้นเข้ากับเครื่องอ่าน เป็นเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลรุ่นแรกๆ ที่ได้รับการยอมรับจากหลายอุตสาหกรรมทั้งการบิน การธนาคาร บัตรสะสมแต้ม บัตรโดยสารรถไฟต่างๆ ล้วนใช้บัตรแถบแม่เหล็กในการเก็บข้อมูลทั้งสิ้น
แต่ข้อเสียของบัตรแถบแม่เหล็ก คือ แถบแม่เหล็กที่อยู่ด้านหลังบัตรซึ่งมองเห็นและสัมผัสได้โดยตรงนี้ หากเกิดการเสียบสีจนเป็นรอย อาจส่งผลให้เครื่องอ่านไม่สามารถอ่านข้อมูลภายในบัตรได้ เปรียบเหมือนแผ่นซีดีที่มีรอยขูดขีดที่ไม่สามารถเล่นในเครื่องอ่านได้อย่างต่อเนื่องยังไง อย่างงั้น (แหม่! เปรียบเทียบซะบอกอายุเลย)

แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันที่พัฒนาระบบความปลอดภัยแบบใหม่ออกมา ให้มีความปลอดภัยสูงขึ้นอีก จนทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องออกมาประกาศให้ทุกธนาคาร จากเดิมที่ใช้บัตรเดบิต/เครดิตระบบแถบแม่เหล็กเพียงอย่างเดียว ให้ทะยอยเปลี่ยนมาใช้บัตรชิปการ์ดแทนภายในปี 2563 และบัตรชิปการ์ดระบบใหม่ที่ว่านี้เอง ที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไป…
บัตรชิปการ์ด (Chip card)
บัตรพลาสติกขนาดมาตรฐาน 8.6×5.4 cm. ทั่วไปแต่จะสังเกตเห็นชิ้นส่วนชิปเล็กๆหน้าตายคล้ายซิมโทรศัพท์มือถือขนาดประมาณ 1.5 cm. สีเงินหรือสีทอง ฝังอยู่บนตัวบัตร ชิปบนบัตรนี้เองที่เป็นตัวบันทึกและประมวลผลข้อมูลต่างๆ เหมาะกับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูงในการเก็บรักษาข้อมูล เช่น บัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม หรือ บัตรประขาขน

2.2. บัตรสมาร์ทการ์ดแบบไร้สัมผัส (Contactless smart card)
บัตรสมาร์ทการ์ดแบบไร้สัมผัส คือ บัตรที่สามารถประมวลผลข้อมูลของบัตร และส่งผ่านข้อมูลกับเครื่องอ่านได้ โดยที่บัตรไม่ต้องสัมผัสโดยตรงกับเครื่อง เพียงแค่นำบัตรเข้าใกล้ในระยะที่เครื่องอ่านสามารถรับสัญญาณได้ถึงก็เพียงพอแล้ว ซึ่งเทคโนโลยีการรับสัญญาณระยะไกลแบบนี้เราเรียกว่า RFID (อาร์เอฟไอดี) ย่อมาจาก Radio Frequency IDentification หรือการสื่อสารระบุตัวตนผ่านคลื่นคลวามถี่วิทยุ มีหน่วยวัดเป็น Hz (Hertz) เราจึงเรียกบัตรสมาร์ทการ์ดที่ใช้เทคโนโลยีนี้ว่า บัตร RFID หรือหลายคนจะคุ้นเคยกับการเรียกรวมๆว่า บัตรคีย์การ์ด นั่นเอง
บัตรRFID เมื่อดูภายนอกจะเหมือนกันบัตรพลาสติก PVC ทั่วไป แต่เมื่อมองผ่านแสง หรือเอาไฟฉายส่อง จะเห็นขดลวดด้านในบัตร ไว้ใช้สำหรับเป็นเสาสื่อสัญญาณ และเก็บรักษาข้อมูลในบางกรณี
โดยเราสามารถแบ่งประเภทบัตรได้ตามคลื่นความถี่ของบัตร ดังนี้
บัตรProximity คลื่นความถี่ต่ำ 125kHz
บัตรพร็อคซิมิตี้ มีคลื่นความถี่ต่ำ (Low Frequency-LF) อยู่ที่ 125kHz การรับส่งข้อมูลกับเครื่องอ่านบัตรจะเป็นเพียงการอ่าน serial number หรือ unit number หมายเลขประจำบัตรที่ถูกกำหนดไว้ให้ไม่ซ้ำกันเลย ไม่สามารถเขียน หรือบันทึกข้อมูลเพิ่มได้ แต่ถือว่ามีราคาถูกเมื่อเทียบกับความสามารถที่นำไปใช้งานได้หลากหลาย
คุณสมบัติของบัตร
• คลื่นความถี่ 125 kHz
• ขนาด 86×54 มม. มีความหนา 2 ขนาดคือ 0.8 และ 1.8 มม.
• บัตรแบบหนา (บัตรหลังเต่า) จะถูกเจาะรูเม็ดข้าวไว้ทุกใบ
• บัตรทุกใบจะมีตัวเลข serial number ประจำบัตร
• สามารถอ่านได้อย่างเดียว
การนำไปใช้งาน บัตรคีย์การ์ด บัตรผ่านประตู บัตรพนักงานใช้สแกนบัตรเข้า-ออกสำนักงาน เป็นต้น
บัตรMifare คลื่นความถี่สูง 13.56MHz
บัตรมายแฟร์ มีคลื่นความถี่สูง (High Frequency-HF) อยู่ที่ 13.56MHz เป็นบัตรที่มีหน่วยความจำ (Memory chip) ฝังอยู่ด้านใน ทำให้สามารถเขียนข้อมูลลงในบัตรได้ เช่น การบันทึกเวลาเข้างาน การบันทึกยอดเงินคงเหลือ การระบุวัน-เวลาที่บัตรสามารถใช้ผ่านประตูได้ เป็นต้น ส่วนเรื่องราคา ถือว่าค่อนข้างหลากหลาย เนื่องจากมีหน่วยความจำให้เลือกหลายแบบรวมถึงบางยี่ห้อที่มีความปลอดภัยสูงก็อาจมีราคาสูงตามไปด้วยเช่นกัน
คุณสมบัติของบัตร
• คลื่นความถี่ 13.56MHz
• ขนาด 86×54 มม. หนา 0.76- 0.8 มม.
• ความจุเริ่มต้นที่ 1K , 2K และ 4K
• ระยะอ่านบัตร 10 cm.
• สามารถอ่าน เขียน บันทึก และลบข้อมูลได้
การนำไปใช้งาน บัตรคีย์การ์ดโรงแรม บัตรผ่านประตู บัตรลานจอดรถ บัตรนักเรียน บัตรพนักงาน บัตรบันทึกเวลาเข้างาน บัตรศูนย์อาหาร บัตรAccess control

บัตรUHF คลื่นความถี่ยิ่ง 860-960MHz
บัตรUHF มีคลื่นความถี่สูงยิ่ง (Ultra High Frequency-UHF) อยู่ที่ 860-960MHz เป็นบัตรที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุสูงมาก บัตรนี้จึงสามารถอ่านกับตัวเครื่องได้จากระยะไกล 3-20 เมตร มีหน่วยความจำด้านใน(Memory chip) สามารถอ่าน-เขียนข้อมูลเพิ่มได้
คุณสมบัติของบัตร
• คลื่นความถี่ 860-960MHz
• ขนาด 86×54 มม. หนา 0.8 มม.
• ระยะอ่านบัตร 3-20 เมตร
• สามารถอ่าน เขียน บันทึก ข้อมูลได้
การนำไปใช้งาน บัตรผ่านไม้กั้นประตูระยะไกล ระบบโลจิสติกส์

Tips: บัตร Dual คือ บัตรที่รวม 2 คลื่นความถี่เอาไว้ในใบเดียวกัน เช่น บัตรDual = Mifare + Prox หรือ Mifare + UHF

หากมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทและการใช้งานบัตร เรายินดีให้คำปรึกษาฟรี พร้อมบริการอื่นๆอีกมากมาย ทั้งจัดจำหน่ายบัตรพลาสติก บัตรคีย์การ์ด บัตร RFID เครื่องพิมพ์บัตร รวมถึงบริการออกแบบและรับพิมพ์บัตรให้คุณได้อย่างครบวงจร ติดต่อหาเราเพียงคลิก…
สรุป บัตรพลาสติก แบ่งตามคุณสมบัติแล้วมี 2 ประเภท คือ
1. บัตรพลาสติก พีวีซี หรือ บัตรขาวเปล่า (PVC card) ไม่มีระบบใดๆ
2. บัตรสมาร์ทการ์ด (Smart card) คือ บัตรที่สื่อสารข้อมูล หรือประมวลผลได้ แบ่งตามการใช้งานได้ 2 แบบคือ แบบสัมผัส และแบบไร้สัมผัส
2.1. บัตรสมาร์ทการ์ดแบบสัมผัส (Contact smart card) คือบัตรที่ต้องสัมผัสกับเครื่องอ่านโดยตรง ได้แก่ บัตรแถบแม่เหล็ก และบัตรชิปการ์ด
2.2. บัตรสมาร์ทการ์ดแบบไร้สัมผัส (Contactless smart card) คือบัตรที่ไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับเครื่องอ่าน สามารถอ่านบัตรได้จากระยะที่สัญญาณไปถึง ผ่านคลื่นความถี่วิทยุ ได้แก่ บัตรRFID (Proximity, Mifare, UHF)
บัตรProximity กับ Mifare ต่างกันอย่างไร
คุณสมบัติของบัตรProximity
• คลื่นความถี่ต่ำ 125 kHz
• ขนาด 86×54 มม.
• ความหนา 0.8 และ 1.8 มม.
• บัตรแบบหนา 1.8 มม. (บัตรหลังเต่า) จะถูกเจาะรูเม็ดข้าวไว้ทุกใบ
• บัตรทุกใบจะมีตัวเลข serial number ประจำบัตร
• สามารถอ่านได้อย่างเดียว
คุณสมบัติของบัตรMifare
• คลื่นความถี่ 13.56MHz
• ขนาด 86×54 มม.
• หนา 0.8 มม.
• ความจุเริ่มต้นที่ 1K , 2K และ 4K
• ระยะอ่านบัตร 10 cm.
• สามารถอ่าน เขียน บันทึก และลบข้อมูลได้